.....ก่อนอื่นคงต้องยอมรับกันนะครับว่าทฤษฎีในการวิเคราะห์หุ้น ( Technical Analysis ) นั้นมันเป็นทฤษฎีของฝรั่ง เพราะฝรั่งเขาเปิดหรือสร้างตลาดทุนกันมาก่อนบ้านเรา ดังนั้นทฤษฎีต่างๆที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ของคนไทย แต่เราเป็นผู้นำมาใช้เท่านั้น

.....เช่นเดียวกัน Richers ได้ศึกษาทฤษฎีของ Elliott Wave มาพอสมควรและเห็นว่ามันมีประโยชน์ และก็พอที่จะapplyใช้กับตลาดหลักทรัพย์บ้านเราได้เหมือนกันแต่ก็ไม่สมบูรณ์ 100 % นะครับ เพราะนักเล่นหุ้นบ้านเราเป็นนักเก็งกำไรกันเสียส่วนใหญ่ แต่ถ้าเราเก็งกำไรแบบอาศัยดวงอย่างเดียวผมว่าคงไม่ success แน่ครับ แต่ถ้าเราเก็งกำไรแบบอาศัยดวงพร้อมกับศึกษาทฤษฎีการวิเคราะห์หุ้นบ้าง มันก็จะสามารถทำให้เราไม่ตื่นตระหนก และมีความมั่นใจในการเล่นหุ้น ทำให้เรา success ได้อย่างมีความสุขครับ

.....ทฤษฏี Elliott Wave  สร้างขึ้นโดย Ralph Nelson Elliott ซึ่งเขาได้พัฒนามาจาก Down Theory โดยเนื้อหาบทสรุปของทฤษฎีนี้คือ Pattern ของราคาหุ้นมันจะมีพฤติกรรมเป็นลักษณะลูกคลื่น ซึ่งสามารถแจงรายละเอียดในหลักการได้ดังนี้

  • ถ้ามีแรงกระทำย่อมมีแรงโต้ตอบ ซึ่งอนุมานในการเล่นหุ้นคือ เมื่อหุ้นมีขึ้น มันก็ต้องมีลง และเมื่อมันลงถึงจุดนิ่งแล้ว มันก็พร้อมที่จะขึ้นในรอบต่อไป ซึ่งภาษานักวิเคราะห์หุ้นทั้งหลายเขาเรียกว่าหุ้นรีบาวน์ และหุ้นปรับฐาน
    .
  • ึElliott Wave ประกอบด้วยลูกคลื่นในขาขึ้น 5 ลูก ( 1-2-3-4-5)  และลูกคลื่นในขาลง 3 ลูก (a-b-c) ในช่วงขาขึ้นเราเรียกว่า Impulse ส่วนขาลงเราเรียกว่า Correction
    .
  • ในหนึ่งรอบหรือ cycles ของ Elliott Wave นั้นจะเป็น series ของ impulse และ correction
    .

.....จากนิยามข้างต้นสามารถแสดงด้วยกราฟดังข้างล่าง และแนะนำว่าคุณต้องจำ pattern นี้เอาไว้ให้แม่นยำ wave 1,2,3,4,5,a,b,c

.....จากกราฟจะเห็นว่าจุดสูงสุดของรอบจะอยู่ที่คลื่นลูกที่ 5 ส่วนจุดเริ่มต้นคือคลื่นลูกที่ 1 ในช่วงที่หุ้นเป็นขาขึ้น การขึ้นยังไม่แรงเท่าที่ควร เพราะนักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นต่างคอยดูเชิงซึ่งกันและกัน ราคาหุ้นก็จะไต่ขึ้นมาที่คลื่นลูกที่ 1 หลังจากนั้น ก็จะมีนักเล่นหุ้นบางกลุ่มที่คอยจังหวะขายหุ้นโดยที่หวังกำไรไม่มากนัก หรือ อย่างน้อยก็ขาดทุนไม่มาก ทำให้หุ้นปรับฐาน( retrace ) ลงมาเล็กน้อยที่คลื่นลูกที่ 2

.....หลังจากราคาหุ้นได้ปรับฐานมาที่คลื่นลูกที่ 2 แล้ว ในช่วงนี้เอง volume การซื้อขายเริ่มมากขึ้น ทำให้นักเล่นหุ้นอื่นๆมองเห็นแนวโน้มทิศทางของหุ้นตัวนี้ จึงเริ่มเข้าซื้อหุ้นด้วย volume ที่มาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัว ( rebound ) สูงขึ้นมาก โดยทฤษฏีแล้ว คลื่นลูกที่ 3 จะเป็นคลื่นลูกที่สูงที่สุด

.....ราคาหุ้นปรับตัวมาที่คลื่นลูกที่ 3 ทำให้นักเล่นหุ้นมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ จึงเริ่มทะยอยขายหุ้นออกมา ราคาหุ้นก็เริ่ม retrace มาที่คลื่นลูกที่ 4 การปรับฐานของราคาหุ้นมาที่คลื่อนลูกที่ 4 นี้ดูเหมือนว่ามันน่าจะหยุดขึ้นต่อไป แต่ทั้งนี้ยังมีนักเล่นหุ้นบางกลุ่มที่ตกขบวนรถไฟ และยังมีความเชื่อว่าหุ้นตัวนี้สามารถวิ่งต่อได้ จึงเข้าไล่ซื้ออีกรอบหนึ่ง ทำให้หุ้นสามารถวิ่งต่อไปได้จนถึงคลื่นลูกที่ 5 แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คลื่นลูกที่ 5 จะมีขนาดสั้นกว่าลูกที่ 3 เนื่องจากความกล้าๆกลัวๆของนักเล่นหุ้นทำให้ตัดขาย หรือทำกำไรเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว

.....เมื่อราคาหุ้นปรับตัวมาที่จุดสูงสุดคือคลื่นลูกที่ 5 แล้ว และมีการขายทำกำไรกันออกมา ทำให้ราคาหุ้นปรับฐานลงมาที่คลื่น a, การขายรอบนี้นักเล่นหุ้นจะประสานเสียงหรือร่วมมือร่วมใจกันขายหุ้นออกมาปริมาณมาก หรือบางครั้งเกิด panic เล็กๆ เมื่อหุ้นปรับฐานมาที่คลื่น a นักเล่นหุ้นบางคนจะมองว่าราคาหุ้นมันถูกลงจึงเข้าซื้อทำให้ราคาหุ้น rebound เล็กน้อยไปที่คลื่นลูกที่ b แต่การขึ้นครั้งนี้มันขึ้นไม่แรง เพราะมันยังไม่สามารถเอาชนะใจคนอื่นๆได้ พอขึ้นไม่แรงก็ขายดีกว่า ทำให้มีการขายหุ้นกันออกมาทำให้ราคาหุ้นปรับฐานลงที่คลื่น c

.....หลังจากจบคลื่น c แล้วก็ถือว่ามันครบรอบหรือ cycle ของหุ้นอย่างสมบูรณ์ ผมขอทวนนะครับ คลื่น Elliott Wave ประกอบด้วยหุ้นขาขึ้น ( impulse) คลื่นลูกที่ 1,2,3,4,5 ส่วนหุ้นขาลง ( correction ) มีคลื่นลูก a,b,c

..... การเข้าใจพฤติกรรมของหุ้นโดยอาศัยหลัก Elliott Wave จะทำให้เรารู้สถานะและแนวโน้มของมัน ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นในการ trade

.....จากที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียง Basic Concept เท่านั้น แต่มันยังมีความซับซ้อนมากกว่านี้ โดยที่หุ้นขาขึ้นลูกที่ 1,2,3,4,5 สามารถรวบเป็นคลื่นลูกที่ 1 และหุ้นขาลง a,b,c สามารถรวบเป็นคลื่นลูกที่ 2 ได้ เช่นกราฟด้านล่าง

.....การที่หุ้นมัน rebound หรือ retrace นั้น ถามว่ามันจะขึ้นไปถึงไหน และ มันจะลงมาถึงไหน ตรงจุดนี้ก็มีทฤษฎีที่อธิบายได้เช่นกันนั่นคือ Fibonacci Numbers ซึ่งเป็นเนื้อหาที่สามารถเขียนเป็นหนังสือหรือคู่มือเป็นเล่มหนาประมาณ 1 นิ้วได้ ซึ่งผมไม่สามารถนำมาอธิบายในที่นี้ได้ แต่ก็ขอนำเอาผลของมันมาใช้เลยดีกว่าครับ 

.....Fibonacci Numbers เป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับธรรมชาติ เป็นตัวเลขที่เรียกได้ว่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว ตัวเลขที่เราสามารถนำมาใช้ได้เลยมีดังนี้
 

แบบทศนิยม

แบบเปอร์เซ็นต์
0.236 23.60 %
0.382 38.20 %
0.500 50.00 %
0.618 61.80 %
0.764 76.40 %
1.000 100.00 %
1.382 138.20 %
1.618 161.80 %
2.618 261.80 %
4.236 423.60 %
......

 

.

 

....หลายคนคงพอจะคุ้นกับตัวเลขพวกนี้บ้างนะครับ อย่างน้อยนักวิเคราะห์หุ้นหลายสังกัดก็นิยม หรือพูดถึงกันมากเช่น หุ้นกำลังปรับฐานลงมาในระดับ 38.20% ซึ่งก็คือแนวรับที่นักวิเคราะห์จะทำนายได้ว่าราคาหุ้นมันมีแนวรับที่ระดับราคาเท่าไหร่ ซึ่งอันที่จริงนักวิเคราะห์ก็ไม่ใช่หมอดู หรือนักคำนวนที่เก่งกาจเท่าไหร่ (ต้องขอโทษที่กล่าวเช่นนี้ ) เพราะเราสามารถใช้โปรแกรมวิเคราะห์หุ้นมาใช้หาจุดแนวรับ แนวต้านโดยใช้ tool ได้มากมาย รวมทั้ง Fibonacci Numbers ที่กล่าวไว้เช่นกัน โปรแกรมที่นิยมสุดๆก็คือ Meta Stock ซึ่งปัจจุบันล่าสุดได้พัฒนาไปถึง Version 8.00 แล้ว ราคาก็ประมาณหมื่นกว่าบาท ไม่ได้ promote ให้นะครับ แต่คิดว่ามันมีประโยชน์ก็เลยแนะนำกัน

.....เราลองมาดูตัวอย่าง Fibonacci Numbers ที่ใช้ใน Meta Stock กันดูบ้าง

....จากกราฟราคาหุ้นข้างต้น เป็นตัวอย่างจริงของหุ้น BBL เมื่อราคาหุ้นมันขึ้นจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 2 และมันก็ปรับฐาน retrace ลงมา ทีนี้หากเราไม่มีวิชาติดตัวถามว่าราคาหุ้นมันควรจะลงมาเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะคาดคะเนได้ แต่หากเรามีวิชาติดตัว คุณคงบอกได้นะครับว่าแนวรับมันควรจะอยู่ที่ไหน

.....ถ้าเราใช้ Meta Stock เราก็จะได้แนวรับหลายระดับได้แก่ แนวรับที่ 23.6% ,  38.2%,  50.0%,  61.80% ในที่นี้แนวรับมันหยุดที่ 50% ที่ราคาใกล้ๆ 48 และหลังจากนั้นมันก็ rebound ขึ้นต่อไป โดยที่ตัวเลขแนวรับที่เกิดขึ้น Meta Stock จัดการให้ทั้งหมด

.....แน่นอนครับเราคงไม่ได้ใช้เจ้า Fibonacci Numbers เพียงอย่างเดียวมาวิเคราะห์หุ้น ถ้าจะให้ดีเราควรนำเอา indicators ตัวอื่นๆมาวิเคราะห์ด้วยเช่นกัน ซึ่ง indicators พวกนี้ศึกษาได้จากหนังสือที่เกี่ยวกับ technicalanalysis ได้หลายเล่มในท้องตลาด

.....ตัวอย่างข้างล่างเป็นการนำเอา indicator เช่น MACD ( Oscillator ) มาประกอบในการวิเคราะห์ เพื่อหาว่าคลื่นของ ELLIOTT มันวิ่งไปถึงคลื่นลูกที่ 5 หรือยัง ซึ่งจะสังเกตุเห็นว่าเส้นสีแดงที่ลากเชื่อมระหว่างจุด 3 และ 5 มีทิศทางขึ้น ในขณะที่เส้นแดงที่ลากเชื่อมระหว่างจุดยอดของ MACD มีทิศทางลง ลักษณะนี้เรียกว่าเกิด divergence คือมันมีทิศทางสวนทางกัน เช่นนี้ก็จะสามารถ forecast ได้ว่ากราฟหุ้นได้มาถึงจุดสูงสุดคลื่นลูกที่ 5 แล้ว

 

 

ช่วงขาขึ้นประกอบด้วยคลื่น 1,2,3,4,5 สังเกตว่าคลื่นลูกที่ 2,4 เป็นคลื่นช่วงปรับฐานย่อย ส่วนคลื่น 1,3,5 เป็นคลื่น rebound แต่ถ้ามองเป็น Channel แล้ว ภาพรวมมันเป็น Uptrend
.....ลักษณะของคลื่นลูกที่ 2 จะปรับฐานโดยจะไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของ คลื่นลูกที่ 1
.....การปรับฐานคลื่นลูกที่ 2 นั้นเกิดจากขายเพื่อหนีต้นทุน เนื่องจากก่อนการเกิดคลื่นลูกที่ 1 มันผ่าน downtrend มาก่อน ทำให้พอหุ้นมีการ rebound ขึ้นมาที่ลูกคลื่นที่ 1 ได้ นักเล่นหุ้นบางกลุ่มก็ยอมขายขาดทุนออกมา ทำให้ราคาหุ้นตก และปรับฐานเป็นคลื่นลูกที่ 2

 

.....การ form ตัวคลื่นลูกที่ 3 นั้นจะสังเกตุได้จากยอดของคลื่นลูกที่ 1จะเป็นแนวต้านที่สำคัญ หากมันไม่สามารถทะลุผ่านจุดนี้ไปได้ นั่นแสดงว่าคลื่นลูกที่ 3 นั้นมันมีปัญหา หรือผิดพลาด แต่ถ้าลูกคลื่นสามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ ไปได้แสดงว่าการ form ตัวเป็นคลื่นลูกที่ 3 น่าจะสมบูรณ์

 

...ส่วนมากแล้วคลื่นลูกที่ 3 จะเป็นคลื่นที่แรงที่สุด ดังนั้นหากราคาหุ้นมันทะลุยอดของคลื่นลูกที่ 1 พร้อมทั้งเกิด Gap กระโดดอยู่เหนือยอดคลื่นลูกที่ 1 ได้ ย่อมแสดงถึงทิศทางของหุ้นกำลังเข้าสู่ Bullish state อย่างคึกคัก
...สาเหตุที่คลื่นลูกที่ 3 เป็นคลื่นลูกที่ร้อนแรงที่สุดนั้น ก็เพราะว่านักเล่นหุ้นต่างก็มองเห็นทิศทาง ของมันอีกทั้งยังเกิด gap ของราคาหุ้นด้วย ทำให้นักเล่นหุ้นที่พลาดโอกาสซื้อ ณ จุดต่ำสุดนั้น ต้องรีบกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องตกขบวน
...เมื่อคลื่นลูกที่ 3 ได้ไต่ระดับขึ้นมามากแล้ว นักเล่นหุ้นกลุ่มแรกที่ซื้อหุ้นไว้ ณ ระดับราคาช่วงต่ำสุด ก็เริ่มทะยอยขาดทำกำไรออกมา ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับฐานเกิดคลื่อนลูกที่ 4

.....ส่วนนักเล่นหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้ซื้อหุ้น ณ ระดับราคาต่ำสุดยังไม่ได้ขายหุ้นออกมาก อีกทั้งยังมีการซื้อเฉลี่ยต้นทุนด้วย และเชื่อว่าโอกาสที่หุ้นจะขึ้นยังมีอยู่ จึงเข้าซื้อ ทำให้ราคา rebound ขึ้นไปเป็นคลื่นลูกที่ 5 แต่การ form ตัวเป็นคลื่นลูกที่ 5 จะไม่คึกคักเท่ากับคลื่นลูกที่ 3 แล้วจุด peak ของ uptrend ก็มาหยุด ณ คลื่นที่ 5

.....ช่วงขาลง downtrend เป็นช่วงที่คาดคะเนได้ยากพอสมควร นักเล่นหุ้นบางคนสามารถทำกำไรจาก price gainging ได้ในช่วงหุ้นขาขึ้น แต่ก็ต้องขาดทุนในช่วงหุ้นขาลง เพราะการพยากรณ์ หรือ คาดคะเนหุ้นขาลงมันจะยุ่งยากและซับซ้อนกว่าช่วงขาขึ้น

.....หุ้นขาลงประกอบด้วยคลื่นลูกที่ A,B,C ซึ่งการปรับทิศทางลง แบ่งเป็น

  • Simple Correction
  • Complex Correction

Simple Correction
หรือเรียกว่า zig-zag ก็ได้ โดยการปรับทิศทางลงของหุ้นประกอบด้วยคลื่นลูกที่ A,B,C ทั้งนี้คลื่นลูก B จะ retrace ไม่เกิน 75% ของคลื่น A.และคลื่น C จะมีขนาดมากกว่าหรือเท่ากับคลื่น A

WAVE-B 
ปกติจะมีขนาดของคลื่นเป็น 50% ของคลื่น A และไม่ควรเกิน 75% ของคลื่น A 


WAVE-C
เป็นไปได้ตามกรณี
 = 1.00 ของ คลื่น A.
 = 1.62 ของ คลื่น A.
 = 2.62 ของ คลื่น A.

 

.....นี่คือรูปแบบตัวอย่างของ ZIG-ZAG Correction

Complex Correction
มีด้วยกัน 3 รูปแบบ
  • FLAT
  • IRREGULAR
  • TRIANGLE

Flat Correction

ลักษณะนี้จะมีรูปแบบเหมือน sideway ออกไปด้านข้าง โดยคลื่นลูก A,B,C จะอยู่ในแนวราบออกด้านข้าง

 

Irregular 
รูปแบบนี้คลื่น B จะ retrace เกินขนาดของคลื่น A

Triangle Correction :

 รูปแบบของ Triangle Corrections จะformตัวขึ้นเป็นรูป 3 เหลี่ยม โดยลากเส้นเชื่อมแนวต้าน และลากเส้นเชื่อมแนวรับ เส้นทั้งสองจะ form ตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ภายในมีคลื่น a,b,c,d,e 

.....ถ้าหุ้นอยู่ในช่วง uptrend มันก็จะทะลุผ่านแนวต้านสามเหลี่ยมและก็วิ่งขึ้นต่อไป

.....ถ้าหุ้นอยู่ในช่วง down trend มันก็จะทะลุผ่านแนวรับสามเหลี่ยมและก็ล่วงลง

 

.....การนำ Elliott Wave มาวิเคราะห์หุ้นนั้นนับว่ามันมีประโยชน์มากทีเดียว แต่เชื่อหรือไม่ครับว่า คนสิบคนกำหนดหรือสร้าง Elliott Wave ไม่เหมือนกันคือ บางคนระบุราคาหุ้นตอนนั้นเป็นคลื่นลูกที่ 3 แต่บางคนก็ระบุเป็นคลื่นลูกที่ 5 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และเครื่องมือที่นำมาประกอบการวิเคราะห์

.....กราฟที่ระบุจุด Buy-Sell ที่ Richers นำเสนอนั้น ได้ผ่านขบวนการใช้ Elliott Wave Analysis แล้ว และนำเอาผลมา plot ลงในกราฟเพื่อบอกจุด turning point ซึ่งนั่นก็คือจุดต่างๆของคลื่น Elliott นั่นเอง ดังนั้นคุณสามารถนำเอาจุด Buy-Sell ไปใช้ประโยชน์ในการ trade ได้โดยขอให้ดูวิธีการใช้ "Richers Style"

.....สิ่งสำคัญที่ขอเน้นนะครับคือ ไม่ว่าเราจะมีเครื่องมือที่ดีเลิศอะไรก็ตาม แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือ DISICIPLINE อย่าลืมนะครับ discipline ต้องยึดมั่นให้ดีแล้วคุณจะประสบความสำเร็จ